การเลือกใช้สารดูดความชื้น

การเลือกใช้สารดูดความชื้น

การเลือกใช้สารดูดความชื้นสำหรับบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งนั้น หมายถึง การเลือกชนิด ปริมาณสารดูดความชื้น และลักษณะของบรรจุภัณฑ์ ของสารดูดความชื้น

4 ปัจจัยสัมคญในการเลือกสารดูดความชื้นได้แก่

1. แหล่งที่มาของความชื้น
2. สภาพแวดล้อมของการส่งสินค้า
3. ปริมาณความชื้น
4. ชนิดของบรรจุภัณฑ์สารดูดความชื้น

1. แหล่งที่มาของความชื้น
แหล่งที่มาของความชื้น แหล่งที่มาทั้ง 3 ประเภท กล่าวคือ ตัวสินค้าเองอากาศภายในบรรจุภัณฑ์ และอากาศแวดล้อม ของบรรจุภัณฑ์ (ที่ซึมผ่านบรรจุภัณฑ์) เป็นปัจจัยในการกำหนดบริเวณที่สารดูดความชื้นควรถูกจัดวาง และลักษณะของบรรจุภัณฑ์ ของสารดูดความชื้น

A.) ตัวสินค้าเองจะมีความชื้นภายใน ซึ่งจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้าเป็นสำคัญ สินค้าจำพวกอาหาร จะมีระดับความชื้นที่สูงกว่าสินค้าทั่วๆไป หากระดับความชื้นเกินกว่าสมดุลที่สินค้าจะเก็บไว้ภายในก็จะปล่อยออกสู่อากาศ

B.) อากาศภายในบรรจุภัณฑ์ คือ อากาศที่เข้าสู่บรรจุภัณฑ์ในขณะที่สินค้าถูกบรรจุ ปริมาณของอากาศ และความชื้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการบรรจุว่า อากาศภายนอก สามารถเข้าไปในบรรจุภัณฑ์ในระหว่างการบรรจุได้มากน้อยเพียงไร

C.) อากาศแวดล้อมจะเข้าสู่บรรจุภัณฑ์ในระหว่างการจัดเก็บ และขนส่งสินค้า

ชนิดของวัสดุบรรจุภัณฑ์จะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการป้องกันการซึมผ่านของไอน้ำจากอากาศแวดล้อม อัตราการซึมผ่านความชื้นของวัสดุป้องกันมีหน่วยวัดเป็น ปริมาณไอน้ำ (กรัม) ต่อตารางเมตร ต่อ 24 ชั่วโมง โดยวัดที่อุณหภูมิ และระดับความชื้นสัมพัทธ์ หนึ่งๆ เช่น

อัตราการซึมผ่านของไอน้ำ
ณ.38 c 90% rH
Polyethylene 200 micron
Polyethylene 100 micron
Alufoil A30
Aluminium Barrier Foil
Thin Polybag
Heavy Duty Polybag (500 guage)
Heavy Duty Polybag (1,000 guage)


MVTR
0.4 กรัม
0.8 กรัม
0.1 กรัม
0.05 กรัม
10.0 กรัม
3.4 กรัม
2.0 กรัม

การเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความชื้นที่เหมาะสม สามารถที่จะลดการซึมผ่านของความชื้นจากอากาศด้านนอกเข้าสู่บรรจุภัณฑ์สินค้า ได้เป็นอย่างดี หากแหล่งที่มาของความชื้นเกิดจากตัวสินค้าเอง หรือ ภายในบรรจุภัณฑ์ ควรเลือกสารดูดความชื้นที่สามารถจัดวางไว้ภายในบรรจุภัณฑ์สินค้า ซึ่งอาจมีการสัมผัสกับตัวสินค้าเองก็ได้ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร และ ยา ซึ่งต้องการ สารดูดความชื้นที่บรรจุในซองขนาดเล็กพอที่จะใส่เข้าไปในขวดยา หรือ ซองบรรจุอาหารอย่างไรก็ตาม หากแหล่งความชื้นมาจากอากาศ สิ่งแวดล้อมของบรรจุภัณฑ์ควรเลือกชนิดสารดูดความชื้นที่เหมาะสม ในการวางไว้ ในบริเวณใกล้เคียงที่สามารถดูดความชื้นบริเวณรอบข้าง ของบรรจุภัณฑ์สินค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความชื้นรอบข้างซึมผ่านเข้าไปในบรรจุภัณฑ์ หรือ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบรรจุภัณฑ์ได้ การควบแน่นของความชื้นตามพื้นผิวบรรจุภัณฑ์สินค้าย่อมทำให้หมึกพิมพ์ ความแข็งแรง และความสวยงาม ของบรรจุภัณฑ์ ลดน้อยลงได้

2. สภาพแวดล้อมของการขนส่งสินค้า
การขนส่งสินค้า จากสถานที่จัดเก็บสินค้าไปจุดหมายปลายทางย่อมได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ในระหว่างการขนส่งไม่มากก็น้อย ในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะการขนส่งระหว่างประเทศนั้น สินค้าถูกเคลื่อนย้ายผ่านบริเวณที่มีสภาพอากาศแตกต่างกัน และอาจใช้ระยะเวลาในการขนส่ง (lead time) ค่อนข้างมาก การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของสินค้าจะมีความรุนแรงมากกว่า การขนส่งสินค้า ทางเรือจากประเทศไทยไปประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศ ในฝั่งยุโรปตะวันตกใช้เวลาประมาณ 25-45 วัน และมีอุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ที่แตกต่างจากประเทศไทยมาก โอกาสที่สินค้าจะได้รับความเสียหายจากความชื้น จะมีมาก หากไม่ได้รับการป้องกันที่ถูกต้อง และเหมาะสมการขนส่งสินค้าทางเรือไปประเทศญี่ปุ่น หรือ ประเทศจีน แม้จะใช้เวลาเพียง 10-14 วัน แต่อุณหภูมิ และ ความชื้นสัมพัทธ์ที่แตกต่างระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ก็เป็นเหตุให้การป้องกันสินค้าจากความชื้นมีความสำคัญไม่น้อยกว่าการขนส่งสินค้าไปประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ทวีปยุโรปเลย การป้องกันสินค้าเสียหายจากสภาพแวดล้อมดังกล่าวนี้ ย่อมต้องการสารดูดความชื้นที่มีความเหมาะสม กล่าวคือ ความสามารถในการดูดความชื้นสูง ความเร็วในการดูดความชื้นไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป และไม่คายความชื้นโดยง่าย

3. ปริมาณความชื้น
ปริมาณความชื้นที่อาจทำความเสียหายแก่สินค้า ปริมาณความชื้นสามารถคำนวณโดยคร่าวๆ จากแหล่งที่มาของความชื้น และสภาพแวดล้อมของการขนส่งสินค้า การคำนวณหาปริมาณความชื้นสำหรับการขนส่งสินค้าระยะทางไกล และใช้เวลานาน เช่น การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จะต้องพิจารณา ถึงปริมาณความชื้น ที่สินค้าอาจจะได้รับจากสภาพแวดล้อมตลอดระยะทาง หรือ เวลาของการขนส่ง การส่งสินค้าทางเรือไปต่างประเทศโดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ควรพิจารณา ถึงปริมาณความชื้น ณ สถานที่บรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ และปริมาณความชื้นในทะเล ที่อาจจะเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ได้เป็นสำคัญ ปริมาณความชื้น ดังกล่าว อาจมีมากถึง 4 ลิตร (ตู้คอนเทนเนอร์แห้ง ขนาด 20 ฟุต) สำหรับสินค้าส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกาหรือทวีปยุโรป

สารดูดความชื้นแต่ละชนิด มีคุณสมบัติพื้นฐานที่แตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงความสามารถในการดูดความชื้น ความเร็วในการดูดความชื้น และความสามารถ ในการกักเก็บความชื้นไว้ภายใน โดยมาตรฐาน สากลที่ใช้อยู่คือ US-Mil-Spec D3464 (ประเทศสหรัฐอเมริกา) DIN 55.473 (ประเทศเยอรมนี) JIS-Z 0701 (ประเทศญี่ปุ่น) สารดูดความชื้นได้รับการทดสอบภายใต้อุณหภูมิ ประมาณ 22-25 c และความชื้นสัมพัทธ์ ตั้งแต่ 20%-90% โดยเหตุนี้ การใช้สารดูดความชื้น สำหรับประเทศไทยที่มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 35 c และความชื้นสัมพัทธ์ 75%-85% นั้น จึงต้องพิจารณาถึงความสามารถ ของสารดูดความชื้น ที่สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง

4. ชนิดของบรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้น
บรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้นที่ดีนั้น ต้องไม่ขัดขวางการทำงานของสารดูดความชื้นป้องกัน ไม่ให้สารดูดความชื้น หลุดรอดออกจากบรรจุภัณฑ์ และ มีความเหมาะสมกับสินค้า และสภาพแวดล้อมในการขนส่งสินค้า การใช้สารดูดความชื้นกับผลิตภัณฑ์อาหาร และยานั้น จะบรรจุสารดูดความชื้น พร้อมซองไว้ ภายในขวดยา หรือ ซองอาหาร บรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้น จะสัมผัสโดยตรงกับอาหารหรือยา โดยเหตุนี้ บรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้น ต้องมีความสะอาดพอ ไม่ฉีกขาดได้ง่ายป้องกันการหลุดรอดของสารดูดความชื้น นอกจากนี้ควรได้รับการรับรองจากสถาบันที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการ อาหารและยา เป็นต้น ในขณะเดียวกันการใช้ สารดูดความชื้น สำหรับตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการขนส่ง สินค้าระหว่างประเทศ ควรพิจารณาถึงบรรจุภัณฑ์ของสารดูดความชื้นที่ต้องสามารถ รองรับน้ำหนัก ของสารดูดความชื้นปริมาณมากทนทานต่อการฉีกขาด และแรงกระแทกต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งสินค้า หากบรรจุภัณฑ์ ของสารดูดความชื้นฉีกขาด ทำให้สารดูดความชื้นหลุดรอดออกจากบรรจุภัณฑ์แล้ว สินค้าจะได้รับความเสียหายจากความชื้น และอาจได้รับความเสียหา โดยตรง จากสารดูดความชื้นที่ร่วงหล่นตามตู้คอนเทนเนอร์ หรือ ที่ร่วงใส่ บรรจุภัณฑ์สินค้าได้

ข่าวสารและกิจกรรม

ติดตามข่าวสารและกิจกรรม
บริษัท ธนพลวานิช จำกัด
ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์สนามเด็กเล่น และสารดูดความชื้น